ลูกจ๋า คนแต่ละคนมีไม่นิสัยไม่เหมือนกัน แต่แม่จัดกลุ่มคนเป็นจำพวกๆ ได้อย่างหยาบๆ บอกหนูไว้เผื่อหนูโตขึ้น หนูจะได้ไม่ต้องไปเรียนรู้เองทั้งหมด ให้หนูมีข้อมูลที่คนเราจะเป็นได้ ทั้งด้านที่ดี และด้านที่เลว แม่เป็นคนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ มีทั้งดีและเลว คนทุกคนเป็นแบบนั้น แต่คนส่วนใหญ่จะมีส่วนดีมากกว่าส่วนเลว ถ้าถึงวันที่คนส่วนใหญ่มีส่วนเลวมากกว่าส่วนดี คงเป็นวันที่โลกไม่เหลือความน่าอยู่ แม่ขออย่าหนูได้พบเจอวันนั้นในชีวิต คนจำพวกแรกที่จะแนะนำให้รู้จัก และขออย่าให้หนูเป็น หรืออย่าแม้แต่จะใกล้เคียงคนจำพวกนี้เลย คือคนที่มาหายใจที่ทำงาน คนที่อยู่เพื่อกินเงินเดือนคนอื่นไปวันๆ อยู่โดยไม่มีความละอายแก่ใจว่าไม่ได้ทำอะไร หนูจงมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า แม่ไม่ใช่คนเก่งที่สุด ดีที่สุด ทำงานใหญ่โตที่สุด แต่แม่รู้ว่าแม่ทำงานเต็มที่ พยายามทำตัวให้มีประโยชน์ต่อที่ทำงานมากขึ้นๆ ทุกๆ วัน การแค่มาทำงานแต่ไม่คิดพัฒนาสิ่งที่ทำอยู่เลย เป็นการเสียคุณค่าเดิมที่เรามีอยู่ จงทำงานโดยที่กลับมาถึงบ้านแล้วเรารู้ว่าเราได้ทำอะไรไปในวันนี้ จงทำงานแบบที่เงยหน้า สบตา และบอกกับทุกคนได้ว่าที่ผ่านมา 1 สัปดาห์ 1 เดือน 1 ปี เราได้ทำอะไรไป แล้วในปีนี้ มีอะไรที่เราภูมิใจ คำว่างานของแม่ ไม่ใช่หมายถึงเฉพาะงานอย่างที่แม่กับพ่อ หรือคุณตาคุณยายออกไปทำทุกวันอย่างเดียวเท่านั้น แต่"งาน"ของแม่ หมายถึง สิ่งที่เราทำด้วยหน้าที่ที่เรามี เช่น การเป็นลูกของคุณตา คุณยาย เป็นภรรยาของพ่อ เป็นแม่ของหนู เป็นเพื่อนที่่ดีของเพื่อน เป็นลูกน้องของหัวหน้า เป็นหัวหน้าของลูกน้อง เป็นพนักงานรัฐ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ใช้ภาษีของประชาชน อย่างนี้เป็นต้น ทุกบทบาทที่เรามี ถ้าเรามีสิ่งที่เราภูมิใจในแต่ละบทบาท ปีละ 1-2 อย่างก็ดีแล้ว ถ้ามีมากกว่านั้นได้ก็ดี แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ แม่ไม่ได้ต้องการให้หนูทำแต่เพื่อคนอื่น จงทำตามหัวใจและสมองของตนเองด้วย ประสบการณ์ที่ผิดพลาดของแม่สอนอะไรๆ กับแม่มาพอสมควร แม่อยากจะเล่าให้หนูฟัง ไม่ใช่เพียงจะสอน แต่อยากให้หนูรู้จักแม่ในหลายๆ ด้าน เรื่องการทำตามหัวใจตัวเองในเรื่องที่ถูกต้องสำคัญมาก และมันจะส่งผลให้หนูมีความสุขและประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ไว้วันหลังแม่จะเล่าให้ฟังนะ รักลูกทั้ง 2 คน
Friday, November 18, 2011
Monday, September 12, 2011
Long time no see :)
เดี๋ยวนี้พิมพ์อย่างเดียวจนกลายเป็นเขียนหนังสือไม่ถูก แล้วก็ขี้เกียจเขียนไปซะแล้ว แย่จริงๆ เป็นอุปสรรคในการเขียนอะไรๆ ตอนอารมณ์กำลังมาเป็นอย่างมาก นานแล้วไม่ได้เข้ามาเขียนอะไรที่นี่ มัวแต่ไปเข้าสังคมใน Social Network จนลืมตัวเองไปเป็นปีๆ
Posted by Unknown at 10:58 AM 0 comments
Thursday, February 03, 2011
เข้าใจ
เมื่อมีลูก 2 คน เข้าใจแล้วว่าพ่อแม่รักลูกเท่ากัน เพียงแต่ห่วงลูก และถูกใจลูกไม่เท่ากันเท่านั้นเอง
Posted by Unknown at 8:17 AM 0 comments
Wednesday, January 05, 2011
Friday, November 12, 2010
Sunday, August 08, 2010
อยาก Dance
อารมณ์อยากฟังเพลงทั้งคืน Dance เบาๆ
ขี้เกียจจังเลยเรา
Posted by Unknown at 11:49 PM 0 comments
Thursday, August 05, 2010
สวัสดี My Blog
หายไปมีอีหนู FB อยู่เกือบครึ่งปี ก็ต้องกลับมาตายรัง อะไรจะดีเท่าที่เงียบๆ ให้ได้คิดทบทวนอะไรอย่าง blog นี้
ปัญหา/ความทุกข์ในวันนี้ ไม่ใช่ความทุกข์ในวันหน้า
ณ วันนี้เราคงพะวงและวกวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ คาดหวัง > ผิดหวัง > สมหวัง > คาดหวัง
ทั้งๆ ที่รู้ว่าความทุกข์มาจากความคิดและความหวังของตัวเอง
ทำไมเราถึงหยุดมันไม่ได้
นี่เราโง่ หรือมันเป็นธรรมดาของจิตใจมนุษย์
กลับมาอ่านสิ่งที่เขียนไปเมื่อก่อน ยังตกใจตัวเองว่าทำไมบางครั้งแรงได้ขนาดนั้น
บางเรื่อง บางตอน เขียนไปไม่กี่เดือน แต่ก็จำไม่ได้แล้วว่าทำไมถึงเขียนมันขึ้นมา
นี่เราโง่แล้วยังความจำเสื่อมหรือเปล่าเนี่ย
กลับมาอ่าน Blog แล้งช่วยให้สบายใจได้อย่างนึงว่า
อย่างน้อย ถ้าเราแก้อะไรไม่ได้ ความทุกข์ใจในวันนี้จะหายไปด้วยกาลเวลา
Time will heal จริงๆ
ขอบคุณเพื่อนหลายๆ คนที่เป็นกำลังใจและมีน้ำใจนึกถึงกันตลอด
Posted by Unknown at 5:21 PM 0 comments
Monday, March 08, 2010
เบื่อหรือเปล่า
ถามตัวเองว่าความรู้สึกวันนี้ที่พูดออกมาง่ายๆ ว่า 'เบื่อ' มันคือความเบื่อจริงหรือเปล่า
สรุปได้ว่า ไม่ใช่ มันคือความ 'รังเกียจ 'ต่างหาก
จะเลือกมาก หรือคับแคบไปไหมที่จะบอกได้ว่ารังเกียจคนประเภทไหนบ้าง
เดี๋ยวจะไปลอง list ดูว่ารังเกียจคนประเภทอะไรบ้าง...
ที่จริงก็มีชีวิตอยู่มาค่อนชีวิต
ว่าจะลองเขียนสรุปประสบการณ์ชีวิตเกือบ 40 ปีนี้ว่มีอะไรที่เราได้กลั่นกรอง และตกผลึกแล้วบ้าง
ไม่อยากอยู่หายใจไปวัน ๆ
Posted by Unknown at 9:23 PM 0 comments
Monday, February 22, 2010
Too public
๑ ปีมีอะไรๆ ให้ได้คิดและปล่อยวางเยอะ อยากจะเขียนเก็บไว้ดูวันหลัง เวลาที่คิดอะไรไม่ตก จะได้กลับมาดูได้ว่าเมื่อก่อนเรายังปล่อยวางได้ ก็ขี้เกียจลงมือเขียน พิมพ์เป็นอย่างเดียวไปซะแล้ว
จะพิมพ์ลง blog ก็เกรงจะมีใครมาอ่านโดยบังเอิญ จะพิมพ์เป็น word ก็ดูช่างไม่ดึงดูด เมื่อไหร่ตัดสินใจได้จะกลับมาใหม่นะ
:: คิดถึงทุกวัน ::
Posted by Unknown at 1:10 AM 0 comments
Sunday, January 17, 2010
Friday, January 15, 2010
Thursday, January 07, 2010
GPSed Track "kornkaew"
View my new track "kornkaew" started in Thailand, Changwat Phra Nakhon, Bangkok.
taking orm to school
Powered by GPSed.com - Free Mobile GPS Tracking Service
Posted by Unknown at 7:54 AM 0 comments
Tuesday, October 27, 2009
Nitipoom
Link บทความนิติภูมิในคอลัมภ์หน้า 2 ของหนังสือพิมพ์สีเขียววันที่ 26 ต.ค. 52 มาให้อ่าน
อ่านแล้วเข้าใจคำว่า "บัวใต้น้ำ" ได้ดีขึ้น ถ้าตราบใดคนเกินครึ่งของประเทศยังไม่มีการศึกษาที่ดี
คนอย่างนิติภูมิก็จะยังมีปากมีเสียง มีที่ยืนในสังคมต่อไป
อ่านบทความนิติภูมิแล้วต้องไปอ่าน link ที่แถมมาให้นี่ด้วย
อยากจะเอาไป link ติดบทความนิติภูมิทุกอันเลย
http://www.boringdays.net/nitipoom-navaratna/
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=178437
http://thaienews.blogspot.com/2007/10/blog-post_209.html
Posted by Unknown at 4:21 AM 0 comments
Monday, October 19, 2009
สกู๊ป 7 สี
วันนี้ส่งสกู๊ป 7 สีที่ทุกคนคงคุ้นเคยกันมาหลายปีมาให้เฉพาะคนใกล้ชิด ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้บริจาคหรือร่วมสมทบทุนอะไรกับ 2 เรื่องที่ copy มาให้
ด้านล่างนี้เป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ที่เค้านำเสนอมาก่อน เพียงแต่อยาก share ความรู้สึกกับคนที่รักและใกล้ชิดเท่านั้น
หลังจากดูสกู๊ป 7 สีมาหลายปี
วันนี้ พี่แอนตั้งใจว่า ต่อไปนี้เมื่อจะซื้อของอะไรที่ไม่จำเป็น และไม่ได้อยากได้มากจริงๆ
พี่แอนจะเอาเงินก้อนนั้น หรือเพียงบางส่วนของเงินก้อนนั้น ให้กับคนที่เค้าจำเป็นต้องใช้ การที่เราคิดว่าซื้อไปเถอะ ราคาก็ไม่แพง ทำงานมาเหนื่อยแล้ว
มันไม่ผิด แต่เราทำได้ดีกว่านั้น
เงิน 1-200 บาทมีความหมายมากกับคนหลายๆ คน เรามีโอกาสดีกว่าคนอีกเป็นล้านคนในประเทศ และมีโอกาสดีกว่าคนอีกหลายล้านคนในแอฟริกา
ทั้งการที่เราเกิดมาครบ 32 การที่เราได้มีการศึกษา มีงานดีดี มีคนที่เรารักและมีคนที่รักเรา
สรุปว่าก็เลยอยากจะเชิญชวนคนที่พี่รัก ให้ช่วยมาคอยเตือนพี่เมื่อจะซื้อของบ้าๆ บอๆ
จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน แต่คิดว่าต้องเริ่มต้นซะที
ชีวิตคนเหล่านี้ ถ้าไม่มีใครมาช่วย ก็คงไม่ไปไหน จะอยู่กับวังวนของความลำบากอย่างนั้นชั่วลูกชั่วหลาน
อันนี้ไม่ได้แช่งเค้า แต่ในเมื่อโอกาสมันไม่มี สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นกับเค้ายาก
ถึงแม้เราจะไม่สามารถช่วยเค้าได้ตลอด แต่การที่มีโอกาสช่วยเค้าได้บ้าง ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีมากๆ
1. http://www.ch7.com/news/news_scoop7see_detail.aspx?c=5&p=31&d=53403
ดวงตาพ่อ ถูกต้อเกาะกุมมืดมิดได้ไม่นาน แม่ก็ตกสู่โลกมืดตามกว่า 10 ปีที่ช่วยกันหารับจ้างเลี้ยงดูพ่อแม่ อยู่ๆ พี่ชายคนโตก็เกิดประสาทหลอน แถมพลัดตกรถซ้ำ กว่า 2 ปีที่ล้มหมอนนอนเสื่อ จอม ต้องดิ้นรนเที่ยวรับจ้าง หาเงินซื้อข้าวเลี้ยง 4 ปากท้อง
ลุกเดินเหินได้ แต่ขายังอ่อนแรง ประจวบ มักล้มลุกคลุกคลานขณะไปหาปลาไว้กินไว้ขาย จอม จึงต้องไปช่วยอีกแรงยามว่างงาน จะไปหาที่มั่นคงกว่านี้ ก็ห่วงพ่อแม่ เพราะถึงตาบัว วัย 70 เศษ จะเคยผ่าตัดลอกต้อ จนตาข้างหนึ่งมองเห็น แต่ก็เลือนลางเต็มที ทั้งปวดขา ปวดหลังที่งองุ้ม จอมไม่อาจตัดใจทิ้งไปไกลได้
ใจจริงแล้ว อยากให้พ่อ แม่ และพี่ มีกินอิ่มท้องมากกว่าที่เป็นอยู่แต่เมื่ออับจนทางเลือกเช่นนี้ ก็จำต้องอดทน กอดคออยู่กับความทุกข์ยากไปด้วยกัน
( ธ.กรุงไทย สาขาวงเวียนน้ำพุ (สุรินทร์) เลขบัญชี 980 054 1705
ชื่อบัญชี นายจอม กระแสโสม , นายบรรดา หอมขจร (เพื่อนบ้าน) นายประสพ (เพื่อนบ้าน)
107 หมู่ 7 บ้านโคกอารักษ์ ต.กาเกาะ อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
ติดต่อ คุณบรรดา 087-2398113 , คุณมนตรี (เพื่อนบ้าน) 089-6685470 )
2. http://www.ch7.com/news/news_scoop7see_detail.aspx?c=5&p=31&d=53615
อาจเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสดลให้วิเชียร ได้มาครองคู่กับขวัญซึ่งดวงตาสองข้างมืดบอดมาตั้งแต่เกิด ด้วยฐานะยากจนเป็นทุนเดิม เมื่อมีลูกชายวัยขวบเศษ จึงข่นแค้นยิ่งกว่าเก่า ดิ้นรนออกเรือหาปลาก็ไม่ทันกิน เพราะช่วงนี้หน้ามรสุมจึงต้องหยุดบ่อย ทุกร้อนถึงขวัญ ต้องฝืนดวงตาดับแสง ไปของานทำโดยการรับจ้างปอกมะพร้าวช่วยหาค่ากับข้าว บางวันได้ค่าแรงเพียงเศษเงินบาท ก็ยังดีกว่านิ่งดูดาย
เมื่อถามว่าลำบากอย่างนี้ ทำไมไม่ยกลูกให้คนอื่น ทั้งที่มีคนเคยมา ขอรับอุปการะ แต่ทั้งคู่ยืนยัน ถึงยากดีมีจนก็จะกัดฟัน อุ้มชูลูกชายผู้เป็นแก้วตาดวงใจ ไปจนเติบใหญ่ หวังฝากผีฝากไข้ยามบั้นปลายชีวิต สิ้นแรงทำกิน
ธนาคารกรุงไทย สาขาปราณบุรี
ชื่อบัญชี น.ส.ขวัญ สุขทอง (สกู๊ปชีวิต)
เลขที่บัญชี 716-0-14835-5
ที่อยู่ 84/5 ม.1 ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
ติดต่อ คุณหนู 081-195-0641
Posted by Unknown at 10:39 PM 0 comments
Thursday, October 15, 2009
I love it when you are moody :P
“แม่”
เคยมีรุ่นพี่ที่ทำงานให้เทคนิคในการเริ่มต้นพูดในที่ชุมชน หรือการเขียนบทความสำหรับมือใหม่ข้อหนึ่งก็คือ การหาคำกลอนหรือคำกล่าวดีๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะพูดถึง มาเปิดเรื่องและใช้โยงไปยังเนื้อเรื่องของเรา สำหรับในครั้งนี้ เมื่อได้รับแจ้งจากน้าแจ๋ว (อ.ชุลีพร) เรื่องให้เขียนบทความที่เกี่ยวกับ “แม่” เพื่อนำไปรวบรวมจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ให้เป็นของที่ระลึกในวันครบรอบ 65 ปี
ก็เลยพยายาม Google หากลอน หรือ Quote ดีๆ ที่ตรงกับ “แม่” แต่จนแล้วจนรอด ก็หาที่ใกล้เคียงกับ “แม่” ไม่ได้สักข้อความเดียว
คิดได้ดังนี้ ก็เลิกที่จะหา เพราะสรุปได้ว่าก็เพราะ “แม่” เป็นคนที่มี Uniqueness เป็นอย่างยิ่ง ลองไปนึกๆ ดูแล้ว ไม่มีคุณแม่ของเพื่อนคนไหน ที่จะแม้แต่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับ “แม่” ของเราเลย
ตั้งแต่จำความได้ รู้ว่า “แม่” เป็นผู้หญิงเก่ง และรักงานเป็นอันดับแรกๆ ตอนเด็กๆ จำได้ว่าคุณก๋งจะเป็นคนไปรับแอนกลับจากโรงเรียน พอคุณก๋งเสีย “แม่”จึงมารับหน้าที่นี้แทน และจำได้ว่าแม่ไปรับจากโรงเรียนตอนค่ำๆ ทั้งๆ ที่โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้างไม่ถึง 3 กม.แต่ของแอนยังไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะโชคดีที่เป็นโรงเรียนประจำ จึงได้ทานข้าวกับเพื่อนๆ ที่นอนที่โรงเรียนได้ แต่ของเอก น่ากลัวปนน่าสงสาร เพราะไม่ใช่โรงเรียนประจำ และเพื่อนๆ ก็ไม่ได้กลับกันค่ำมืด บางครั้งแม่ต้องไปรับเอกค่ำๆ เพราะงานไม่เสร็จ หรือมีประชุม เอกก็นั่งรอแม่อยู่กับแขกยามหน้าโรงเรียนนั่นแหล่ะ สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ไม่มี มืดก็มืด มาคิดตอนนี้ ก็คิดว่าเอกโชคดีที่เป็นเด็กไม่ได้หน้าตาน่ารัก หรือดูเป็นลูกคุณหนูเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เพราะไม่งั้น ถ้ามีคนจะคิดลักพาตัว คงไม่ต้องวางแผนการอะไรมาก จริงๆ แล้วจะพูดถึงเรื่องนี้ พูดถึงเฉพาะแม่คนเดียวก็ไม่ยุติธรรม เพราะพ่อเองก็เป็นคนที่งานเยอะมาก พ่อทำงาน 6 วัน ต่อสัปดาห์ กลับบ้านเกือบ 3 ทุ่มทุกวัน ดังนั้น จะบอกว่าแม่ไปรับเราที่โรงเรียนช้าก็ไม่ถูก เพราะทั้งพ่อและแม่ รับเราช้าพอๆ กัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แม่และพ่อทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนแอนเข้ามหาวิทยาลัย ก็คือ ไม่ว่าเค้าจะงานยุ่งแค่ไหน กลับดึก
เท่าไหร่ แม่จะคอยกำชับคนที่บ้านให้เตรียมอาหารเช้าที่มีประโยชน์ให้ และไม่แม่หรือพ่อ คนใดคนหนึ่งจะต้องไปส่งแอนที่โรงเรียนทุกวัน มาถึงวันนี้ แอนคิดว่าแม่และพ่อคงตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น เพื่อให้ได้ใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดในแต่ละวัน ได้พูดคุยและสั่งสอนอบรมแอนและเอกได้ ถึงกระนั้น แอนก็มักจะใช้โอกาสนี้ในการลับสมองประลองคารมกับแม่อยู่บ่อยๆ
สมัยเป็นวัยรุ่น แอนไม่ค่อยเข้าใจอะไรๆ ที่แม่พยายามจะบอก เนื่องมาจากแม่ไม่ต้องการให้แอนหรือเอกเสียเวลาไปเรียนรู้จากประสบการณ์เอง แต่ก็ด้วยความเป็นวัยรุ่น ทำให้ฟังสิ่งที่แม่บอกแต่ละอย่างแล้ว นึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร มาถึงวันนี้ ก็เลยต้องมานั่งนึกว่าถ้าแอนจะบอกลูกอย่างที่แม่บอกแอน แอนจะต้องเตรียมวิธีอย่างไรให้เค้าเชื่อ เพราะสุดท้ายเกือบทุกสิ่งที่แม่บอก ก็จะเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อน เรื่องคน หรือเรื่องเรียน
ถ้าพูดถึงเรื่องเรียน แอนเองต้องยอมรับว่าที่เป็นแอนทุกวันนี้ได้ เพราะแม่และพ่อปั้นและหวดมากับมือ แอนเองเฮี้ยวแต่เด็ก จำได้ว่าโดนเรียกพบผู้ปกครองตั้งแต่ ป. 5 แต่ถึงแม้ว่าด้วยตัวแอนเองนั้นจะเกเรสักเท่าไหร่ ด้วยความที่แม่และพ่อเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และพยายามให้ความรู้และสภาพแวดล้อมที่อำนวยให้แก่เราเท่าที่มีโอกาส ทำให้แอนผ่านพ้นช่วงเวลาเฮี้ยวๆ นั้นมาได้ แอนจำได้ว่าแม่ทำงานบริหารด้วย ดังนั้น จึงไม่มีคำว่าปิดเทอมเหมือนอาจารย์ท่านอื่นๆ ช่วงปิดเทอมของแอน แม่ก็ยังคงยุ่งตามปกติ สิ่งที่แม่จะทำได้ก็คือ ตอนเช้าก่อนไปทำงาน แม่จะเลือกตัดข่าวสั้นๆ ภาษาอังกฤษไว้ให้แอน 1 ข่าว ติดตู้เย็นไว้พร้อมกับโน้ตสั้นๆ ว่า “เย็นนี้สรุปให้แม่ฟังด้วย” เห็นไหมว่าไม่เหมือนแม่คนอื่นหรอก ไม่มีหรอกนะที่จะมาติดว่า “กับข้าวอยู่ในตู้เย็นนะลูก” อันนั้นเบสิคไปค่ะ
แล้วถ้ามีธุระที่แม่จะต้องพาแอนไปไหนด้วย แม่ก็จะเปิดข่าวช่องภาษาอังกฤษ แล้วก็พอจบข่าวนึงก็ถามแอนว่าฟังออกไหม สรุปสาระข่าวว่าอะไร (พอถึงวันนี้ กลับกันว่าแม่มาถามศัพท์กับแอน แอนก็จะรู้สึกแปลกๆ ขำๆ ไม่นึกว่าเค้าจะมาถามเรา) พอถึงเวลาจะต้องนั่งรถไปกับแม่ทีไร เหมือนเข้าห้องเรียนพิเศษทุกที ยกเว้นตอนมัธยมปลายที่เริ่มจะสนุกเวลาที่จะไปไหนด้วยกัน เพราะแม่แอนทันสมัยมากๆ ให้แอนไปเรียนขับรถยนต์ตั้งแต่ ม.4 อายุประมาณ 15-16 ได้ พอขับรถเป็นแล้ว เวลาจะไปไหนกัน แอนก็จะได้ขับรถ จำได้ว่ามีบางวันที่แม่ให้แอนขับรถไปส่งเอกที่โรงเรียน แล้วจึงขับต่อไปที่โรงเรียนแอน เพื่อส่งตัวเอง พอถึงโรงเรียนเบญจมราชาลัยแล้ว แม่ถึงมาเปลี่ยนขับต่อจากโรงเรียนแอนไปธรรมศาสตร์ ตอนนั้น รู้สึกว่าแม่เรานี่กล้ามากๆ กล้าให้เราใส่ชุดนักเรียนขับรถ ตอนเช้าซึ่งรถทั้งเยอะ และทั้งติด ตำรวจก็มองแล้วมองอีก แต่ตอนนั้นก็ไม่เคยโดนตำรวจเรียกนะคะ
ถ้าลองมานั่งนึกว่าแม่ทำอะไรให้แอนเยอะที่สุด สิ่งที่ชัดเจนที่สุด คือ ถ้าเป็นตอนเด็กๆ แม่จะดูแลเรื่องการเรียนมากที่สุด อย่างที่เล่ามาในตอนแรก แม่เป็นทั้งเป็นครูสอนเอง เป็นทั้งครูแนะแนว คอยแนะแนวพ่อว่าหมู่นี้แอนมีอะไรที่นอกลู่นอกทางบ้าง แล้วให้พ่อมาจัดการกับแอนอีกที แล้วก็เป็นครูฝ่ายปกครอง คอยกำกับดูแลการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนสอบเอ็นทรานซ์ 30 วัน แม่ไม่ออกไปไหนเลยสักนิดเดียว คอยทั้งให้กำลังใจ และกำกับการอ่านหนังสือให้เป็นไปตามแผน ส่วนถ้ามานึกถึงตอนนี้ แม่จะดูแลเรื่องการเงิน คอยมาสอบถามว่าเงินในบัญชีมีอยู่เท่าไหร่แล้ว เก็บไว้ให้ลูก(ออม) เท่าไหร่ วางแผนทางการเงินยังไง เอาเงินไปซื้อหุ้นตัวไหนบ้างหรือเปล่า ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่สามีแอน (บอมบ์) มาคุยเรื่องจะแต่งงานกับแอน แม่ยังถามบอมบ์ตรงๆ เลยว่า คิดว่าวางแผนทางการเงินอย่างไร ใครจะเป็นคนดูแลเงิน!!! เล่นเอาว่าที่ลูกเขยในตอนนั้นตกใจ รีบยกให้ลูกสาวแม่ดูแลเงินไปเลย
ทีเขียนมาทั้งหมดนี้ คนที่อ่านคงจะรู้สึกว่าแอนกับแม่นี่ถ้าจะลับสมองประลองคารมกันบ่อยจริงๆ อันนั้นก็ไม่เถียง ลับสมองกันประจำ แต่ถ้าถามแอนว่าแล้วแอนรักแม่ไหม แอนยืนยันได้เลยว่า “รักแม่มาก” แต่เนื่องจากบ้านแอนค่อนข้างจะเลี้ยงลูกแบบเสรี ดังนั้น ความรักแม่กับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จึงเป็น 2 เรื่องที่ไม่ต้องเอามาผสมกัน ทุกวันนี้ แอนมีความสุขที่ ”แอน”เป็น “แอน” ทุกสิ่งที่ผสมออกมาเป็นแอน เกิน 70% มาจากการปลุกปั้นของแม่และพ่อ แอนรักทุกสิ่งที่เป็นแอน แอนมีความภูมิใจในตัวเอง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความสุขกับชีวิต และมีความคิดที่เป็นอิสระ ถามว่าถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งแวดล้อม (ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ของแม่กับพ่อที่สร้างให้แอนเป็นอย่างนี้แล้ว แอนก็คงไม่ได้เป็น “แอน” อย่างทุกวันนี้ ก็อยากจะบอกแม่ว่า มันอาจจะใช้เวลามากไปสักหน่อยกว่าลูกจะเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามบอก แต่มันก็ยังไม่สาย เพราะตอนนี้ ลูกเข้าใจแล้ว และขอบพระคุณแม่ ที่ทำให้แอนเป็นแอนทุกวันนี้ แอนยังคิดเองอยู่บ่อยๆ ว่า ตัวแอนจะเลี้ยงลูกได้ดีและมีความสุขได้เท่ากับที่แม่และพ่อเลี้ยงแอนมาให้เป็นอย่างนี้ไหม มันไม่ง่ายเลย
รักแม่ - แต่ไม่ชอบพูด
แอนค่ะ
Posted by Unknown at 5:13 PM 0 comments
Thursday, October 01, 2009
Tuesday, August 11, 2009
Tuesday, July 28, 2009
Sunday, July 26, 2009
Sunday, July 19, 2009
Tuesday, July 14, 2009
Time changes us
อีกไม่ถึง 5 เดือนก็จะอายุ 37 แล้ว
แต่ละปีวันที่ผ่านเข้ามา ทำให้รู้ว่าสิ่งที่แม่เคยบอกเล่ามาในอดีต
ที่ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เกิดเป็นไปได้
ไม่รู้ว่า *เวลา* ทำให้ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนไป หรือ
*ใจ* คนเราเองที่เปลี่ยนไป
ใครๆ ก็บอกว่าเวลาทำให้คนเปลี่ยน
จริงๆ เวลาไม่มีทางทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้
ใจคน และสรรพสิ่งต่างๆ ต่างหากที่ไม่สามารถคงสภาพเดิมแม้เวลาจะเปลี่ยนไป
*เวลา*ไม่ได้เปลี่ยนเรา
สิ่งที่เราเป็น และทำอยู่ทุกวัน คือสาระที่แท้จริงข้างในของเราเอง
มันอาจจะอยู่กับเรามานานแสนนาน
แต่เพิ่งจะออกมาทำความรู้จักกับตัวเราที่อยู่ภายนอกก็ได้
ว่าไหม
i gotta live with that or go back to where i had belonged..
by the way...i am so glad to hear from you, Aki :D
Posted by Unknown at 6:26 PM 0 comments
Monday, July 13, 2009
Wednesday, May 20, 2009
ความกลัว
ถ้าชีวิตคนมีขึ้นและลง สัปดาห์นี้คงเป็นช่วงที่ชีวิตอยู่ในขาลง หรือไม่ก็กะโผกกะเผก กะปรกกะเปรี้ย (เขียนยังไงก็ไม้รู้)
ซึ่งมีผลทำให้จิตใจหดหู่ และพาลไปคิดเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เคยจริงจังที่จะหาคำตอบ
ขณะที่เราคุยกับคนอื่น สิ่งที่เราตำหนิเค้าในใจ ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเราเป็นอย่างเค้าหรือไม่
ไม่ใช่ ก็ ใกล้เคียง หรือเปล่า
เราเปลี่ยนไป หรือเราเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว
และถ้าเราเปลี่ยน เราเปลี่ยนไปเพราะอะไร และเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่
อายุมาคู่กับความเสื่อมถอยของหลายอย่าง
ที่แน่ๆ คือจินตนาการที่เกือบจะตายไปจากข้างใน
ความเคยชินและความกลัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในทุกๆ วันที่ผ่านเข้ามา
- เคยชินกับความมี - และ
- กลัวที่จะไม่มี -
เราลากซี่โครงทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร
เพื่อจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่ได้ผ่านการ add value กันอย่างถึงที่สุดใช่ไหม
ถ้าโลกนี้ไม่มีโฆษณา ราคาของสินค้าจะเหลือเท่าไหร่ บางทีเราอาจจะไม่ต้องหาเก็บกันมากมายอย่างทุกวันนี้ก็ได้
ถ้าโลกนี้ไม่มีวงจร Connection ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบเชื่อมโยงส่งต่อ ให้แล้วให้ต่อ
ใหญ่แล้วใหญ่ต่อ ผมได้เพื่อนผมได้ คุณละได้หรือยัง รุ่นเดียวกันต้องดันขึ้นก่อน
ถ้าไม่มีวงจรนี้แล้วจะเป็นไง ลูกนางสีอาจได้ดีเป็นผู้จัดการ ความเข้มข้นของชนชั้นอาจจะเบาบางลง
อย่าคิดว่าประเทศนี้ไม่มีชนชั้น ชนชั้นมีทุกที่ ที่บ้าน ที่ทำงาน
เมื่อคนหมู่มากมาปฏิสัมพันธ์กัน ชนชั้นยิ่งเกิดชัดเจน
ที่จริงสิ่งนี้คือสิ่งธรรมดาในชีวิตโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกของคนหรือสัตว์
สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก คือสัจจธรรมที่ไม่น่าชื่นชอบ
แต่คือเรื่องจริง
คนรวยแล้ว ก็รวยได้อีก ถึงแม้ไม่ใช่ทุกคน แต่ก็เป็นคนส่วนใหญ่
คนจนแล้ว ยิ่งจนลงไป
จนเงิน จนโอกาส
Posted by Unknown at 6:33 PM 0 comments
Tuesday, April 14, 2009
Sunday, April 12, 2009
เพลงใหม่
เพลงใหม่ ถูกใจ คลายเครียด ;)
http://www.oknation.net/blog/folkner/2009/04/10/entry-3
http://www.oknation.net/blog/index.php
Posted by Unknown at 7:32 PM 0 comments
Thursday, April 09, 2009
เบื่อคนโง่
สงสัยว่าเค้ารู้เรื่องกันไหมว่าทำอะไรอยู่ คนพวกนี้อ่านหนังสือสักกี่คน หรือได้แต่ฟังๆ เค้ามา อย่างนี้มันน่าจับทดสอบความรู้ความเข้าใจก่อนร่วมประท้วงนะเนี่ย
จะว่าไป เข้าใจคำว่าหนักแผ่นดินแล้ว โง่ดักดานอย่างนี้ ไม่ต้องอยู่ให้อายุยาวหรอกเพราะชาตินี้ก็ได้แค่นี้ ตายแล้วไปเกิดใหม่น่าจะดีกับคนอื่นมากกว่า ไอ้พวกเห็บ
ขอบคุณภาพจากผู้จัดการ กลอน copy มาจากความคิดเห็นที่ 38 อ่านแล้ว ตรงสุดๆ
ฟังเขาปั่น วันนี้ มีแดงเดือด
มีแต่เลือด เดือดดาล ลานถนน
ฟังเขานับ ยั่บยุ่บ หลายแสนคน
แสนฉงน คนไฉน ถึงมากมี
ที่สงสัย ใช่จำนวน ที่เฝ้ามอง
แต่สงสัย นั่นสมอง หรือแค่ขี้
ฟังนักโทษ เห่าหอน แสนอัปรีย์
แต่ยังมี คนเชื่อ อยู่มากมาย
วีดีโอ หอนเห่า เป่าสาวก
แต่หางตก จุกตูด มุดอยู่ไหน
ตัวมันเอง กลับไม่กล้า มาเมืองไทย
แล้วทำไม มันยังกล้า มานำคน
ให้ลูกเมีย เปิดตรูด ตอนกลางคืน
แต่ลูกเมีย คนอื่น มันไม่สน
ต้อนเขามา เสี่ยงชีวิต หลายหมื่นคน
ให้เขามา รับผล ที่มันทำ
อนาถหนอ คนไทย ใยยังโง่
ไม่เคยโต ไม่เคยรู้ ดูน่าขัน
คนฉลาด หลอกใช้ ไปวันๆ
แล้วเมื่อไหร่ จะรู้ทัน คนJUNRAI…
1234@hotmail.com
Posted by Unknown at 4:27 PM 1 comments
Sunday, March 29, 2009
ด้วนแดงเดี้ยงดับด่วน
มาเที่ยวหัวหินทั้งที แต่พอเปิดทีวีที่โรงแรมชมวิว แทบหงายท้อง ดันมาเจอทีวีช่องเสื้อแดงตั้ง 2 ช่อง ทำไปด้ายนะเพ่ เฮ้อ!
Posted by Unknown at 10:05 AM 0 comments
Thursday, January 22, 2009
Wednesday, January 07, 2009
5 Amazing days
ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแรกในหลายยยยยปีที่แบงค์ได้หยุดติดกัน 5 วัน พีดาขอหยุดกลับไปอยู่กับน้องเฟริ์น เรากับบอมบ์เลยได้มีโอกาสใกล้ชิดน้องออมอย่างถึงที่สุด นานมากแล้วที่ไม่ได้อยู่กับออมตามลำพังพ่อ แม่ ลูก มันช่างเป็น 5 amazing days จริงๆ เหนื่อนโค-ตรๆ แต่ก็มีอะไรที่ดีมากกว่า ไม่ว่าจะทำให้รู้ว่าออมซนขั้นเทพ ฉี่บ่อยยังกะก๊อกรั่ว (ทุกครึ่ง ช.ม.) ไม่ยอมกลืนข้าว เจ้าเล่ห์ ติดคุณตา อึไม่เหม็น ขี้อ้อน ฯลฯ
อีกอย่างที่ได้จากวันหยุด 5 วันนี้ คือ ได้นั่งดูนกกับออมทุกวัน วันละหลายๆๆๆๆๆ นาที ดูแล้วก็รู้ว่ามีนกมาอยู่บ้านเราเยอะจัง ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นในวันที่ไม่มีใครอยู่บ้าน นอกจากนี้ ยังรู้ว่าเราเองก็ทำอาหารเป็นเหมือนกันนะ ทำหมูตุ๋นให้ออม อร๊อย อร่อย นุ่มมากๆ เดี๋ยวว่าจะทำให้อีก บอมบ์เองก็น่ารักมาก ช่วยงานได้มากกว่าที่คิด ถึงแม้จะมีเกี่ยงบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าที่คิดไว้เยอะ มีโอกาสได้ไปไหว้พระ กินข้าวกับพ่อ แม่ เอก จั๋ม ได้เจอเพื่อนที่เรารัก รักมากๆ 5 วันนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีจัง เป็นการเริ่มปีใหม่ที่ดีจริงๆ เมื่อไหร่จะมีช่วงเวลาอย่างนี้อีกนะ คิดถึงจัง :)
Posted by Unknown at 5:35 PM 1 comments
Tuesday, December 30, 2008
สวนนก
ทุกวันนี้ออมมีนาฬิกาปลุกเสียงแสบแก้วหู ที่มาปลุกตรงเวลาตีห้าของทุกวัน ยิ่งช่วงที่ไม่ได้เปิดแอร์นอน โอ้โห เหมือนคุณนกปลุกกรอกใส่หูเลย แต่วันก่อนตอนบ่ายแก่ๆ นั่งอยู่กับออมในบ้าน ได้ยินเสียงนกร้องหลายเสียงมาก ทั้งดังและนาน โต้ตอบกันไปมา เลยออกมายืนดูนอกบ้าน เอ้ย..นกเยอะจริงๆ อยู่บนต้นปีป อยู่บนหลังคาบ้านเราและบ้านแม่ ชอบนะ เค้ามาอยู่เพราะต้นไม่ที่บ้านคงสูงดี หนีคนได้ไกลหน่อย แต่เหมือนชวนกันมาเลย มันเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน หวังว่าคงไม่มารื้อหลังคาบ้านฉันนะจ้ะ
เมื่อวานเช้า ตืนด้วยเสียงแควกๆ มาปลุกอีกแล้ว เลยย่องไปดูที่หน้าต่าง นกอะไรก็ไม่รู้ ตัวใหญ่ หางยาว หยิบกล้องมาเก็บภาพไว้หน่อย กะจะถามหน่อยว่านี่มันนกอะไร ไหนๆ จะอยู่ด้วยกัน ก็อยากจะรู้จักกันไว้ จะได้รู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เนอะ?
นอกจากเจ้าตัวใหญ่สุดข้างบนนี่แล้ว นกที่รู้จักก็จะมีนกกางเขนบ้าน นกเขา กับนกเอี้ยง ที่จริงมีนกอีก 1 แบบที่ไม่รู้จัก เป็นนกตัวเล็กๆๆๆๆๆๆๆ มาก หัวถึงหางไม่เกิน 3 นิ้ว รูปลักษณ์มันเหมือนนกไนติงเกล แต่ขนมันไม่มีสีสันพิเศษ เป็นสีเทาหม่นๆ นี่แหล่ะ ความรู้สึกบอกว่ามันไม่ใช่ลูกนก ถึงมันจะตัวเล็กก็เหอะ เสียดายที่ถ่ายรูปตัวเล็กนี่ไม่ทันซะที เดี๋ยวจะลองใหม่ ตอนมากินเกสรดอกปีปพรุ่งนี้
นกเขา
นกกางเขน
นกเอี้ยง
3 รูปล่างนี้ไม่ได้ถ่ายเอง ไปหาในอินเตอร์เน็ตเพื่อจะ save เก็บไว้ดูว่ามีนกอะไรที่มาอยู่ด้วยกันบ้าง
Posted by Unknown at 5:59 PM 0 comments
Saturday, December 27, 2008
มีความสุขแล้วดีใช่ไหม
ผ่านไปอีกปี ปีที่สุขแบบที่แปลกไปกว่าเคย ด้วยความเป็นแม่ คนอ่านแล้วคงนึกว่าเป็นความซาบซึ้ง ปลื้มปิติ แต่เปล่านะ -ไม่ใช่ -
เป็นความสุขที่ได้ใช้เวลากับคนที่มีความสุขตลอดเวลาอย่างน้องออม เป็นความสุขที่เห็นคนที่เป็นคุณตาคุณยายมีความสุข เป็นความดีใจที่มีลูกไม่เจ็บป่วยและไม่โยเย เวลาฟังเพลงรักที่มีความหมายดีๆ ดูหนังรักเยียมๆ เห็นสายตาที่คนรักมองกันแล้ว อึ้ม...ว๊าว ก็รู้สึกดี พอนึกได้ว่าเมื่อก่อนเราจะคิดถึงหน้าคนที่ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้น ก็ลองนึกดูใหม่ แต่นึกถึงใครไม่ออก ไม่ได้เศร้าเหมือนเวลาอกหัก เปล่านะ ไม่ใช่ว่าไม่รักกันกะบอมบ์ แต่มันคืออะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมีความสุขดี แต่...................................แต่อะไรกันนี่
Posted by Unknown at 2:25 PM 0 comments
ปลื้ม ชื่อนี้มีใครปลื้ม
ฟังผล poll ทั้งหลายก็ให้ความประหลาดใจกับจำนวนเสียงของเบอร์ 8 ที่ประเมินกันว่าจะได้ คนเรียนเมืองนอกใช่ว่าจะมีความคิดดี
ภาพจาก boringday.net
Posted by Unknown at 8:22 AM 1 comments