Thursday, October 15, 2009

I love it when you are moody :P



“แม่”

เคยมีรุ่นพี่ที่ทำงานให้เทคนิคในการเริ่มต้นพูดในที่ชุมชน หรือการเขียนบทความสำหรับมือใหม่ข้อหนึ่งก็คือ การหาคำกลอนหรือคำกล่าวดีๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะพูดถึง มาเปิดเรื่องและใช้โยงไปยังเนื้อเรื่องของเรา สำหรับในครั้งนี้ เมื่อได้รับแจ้งจากน้าแจ๋ว (อ.ชุลีพร) เรื่องให้เขียนบทความที่เกี่ยวกับ “แม่” เพื่อนำไปรวบรวมจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ให้เป็นของที่ระลึกในวันครบรอบ 65 ปี
ก็เลยพยายาม Google หากลอน หรือ Quote ดีๆ ที่ตรงกับ “แม่” แต่จนแล้วจนรอด ก็หาที่ใกล้เคียงกับ “แม่” ไม่ได้สักข้อความเดียว

คิดได้ดังนี้ ก็เลิกที่จะหา เพราะสรุปได้ว่าก็เพราะ “แม่” เป็นคนที่มี Uniqueness เป็นอย่างยิ่ง ลองไปนึกๆ ดูแล้ว ไม่มีคุณแม่ของเพื่อนคนไหน ที่จะแม้แต่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับ “แม่” ของเราเลย

ตั้งแต่จำความได้ รู้ว่า “แม่” เป็นผู้หญิงเก่ง และรักงานเป็นอันดับแรกๆ ตอนเด็กๆ จำได้ว่าคุณก๋งจะเป็นคนไปรับแอนกลับจากโรงเรียน พอคุณก๋งเสีย “แม่”จึงมารับหน้าที่นี้แทน และจำได้ว่าแม่ไปรับจากโรงเรียนตอนค่ำๆ ทั้งๆ ที่โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้างไม่ถึง 3 กม.แต่ของแอนยังไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะโชคดีที่เป็นโรงเรียนประจำ จึงได้ทานข้าวกับเพื่อนๆ ที่นอนที่โรงเรียนได้ แต่ของเอก น่ากลัวปนน่าสงสาร เพราะไม่ใช่โรงเรียนประจำ และเพื่อนๆ ก็ไม่ได้กลับกันค่ำมืด บางครั้งแม่ต้องไปรับเอกค่ำๆ เพราะงานไม่เสร็จ หรือมีประชุม เอกก็นั่งรอแม่อยู่กับแขกยามหน้าโรงเรียนนั่นแหล่ะ สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ไม่มี มืดก็มืด มาคิดตอนนี้ ก็คิดว่าเอกโชคดีที่เป็นเด็กไม่ได้หน้าตาน่ารัก หรือดูเป็นลูกคุณหนูเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เพราะไม่งั้น ถ้ามีคนจะคิดลักพาตัว คงไม่ต้องวางแผนการอะไรมาก จริงๆ แล้วจะพูดถึงเรื่องนี้ พูดถึงเฉพาะแม่คนเดียวก็ไม่ยุติธรรม เพราะพ่อเองก็เป็นคนที่งานเยอะมาก พ่อทำงาน 6 วัน ต่อสัปดาห์ กลับบ้านเกือบ 3 ทุ่มทุกวัน ดังนั้น จะบอกว่าแม่ไปรับเราที่โรงเรียนช้าก็ไม่ถูก เพราะทั้งพ่อและแม่ รับเราช้าพอๆ กัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แม่และพ่อทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนแอนเข้ามหาวิทยาลัย ก็คือ ไม่ว่าเค้าจะงานยุ่งแค่ไหน กลับดึก
เท่าไหร่ แม่จะคอยกำชับคนที่บ้านให้เตรียมอาหารเช้าที่มีประโยชน์ให้ และไม่แม่หรือพ่อ คนใดคนหนึ่งจะต้องไปส่งแอนที่โรงเรียนทุกวัน มาถึงวันนี้ แอนคิดว่าแม่และพ่อคงตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น เพื่อให้ได้ใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดในแต่ละวัน ได้พูดคุยและสั่งสอนอบรมแอนและเอกได้ ถึงกระนั้น แอนก็มักจะใช้โอกาสนี้ในการลับสมองประลองคารมกับแม่อยู่บ่อยๆ

สมัยเป็นวัยรุ่น แอนไม่ค่อยเข้าใจอะไรๆ ที่แม่พยายามจะบอก เนื่องมาจากแม่ไม่ต้องการให้แอนหรือเอกเสียเวลาไปเรียนรู้จากประสบการณ์เอง แต่ก็ด้วยความเป็นวัยรุ่น ทำให้ฟังสิ่งที่แม่บอกแต่ละอย่างแล้ว นึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร มาถึงวันนี้ ก็เลยต้องมานั่งนึกว่าถ้าแอนจะบอกลูกอย่างที่แม่บอกแอน แอนจะต้องเตรียมวิธีอย่างไรให้เค้าเชื่อ เพราะสุดท้ายเกือบทุกสิ่งที่แม่บอก ก็จะเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อน เรื่องคน หรือเรื่องเรียน

ถ้าพูดถึงเรื่องเรียน แอนเองต้องยอมรับว่าที่เป็นแอนทุกวันนี้ได้ เพราะแม่และพ่อปั้นและหวดมากับมือ แอนเองเฮี้ยวแต่เด็ก จำได้ว่าโดนเรียกพบผู้ปกครองตั้งแต่ ป. 5 แต่ถึงแม้ว่าด้วยตัวแอนเองนั้นจะเกเรสักเท่าไหร่ ด้วยความที่แม่และพ่อเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และพยายามให้ความรู้และสภาพแวดล้อมที่อำนวยให้แก่เราเท่าที่มีโอกาส ทำให้แอนผ่านพ้นช่วงเวลาเฮี้ยวๆ นั้นมาได้ แอนจำได้ว่าแม่ทำงานบริหารด้วย ดังนั้น จึงไม่มีคำว่าปิดเทอมเหมือนอาจารย์ท่านอื่นๆ ช่วงปิดเทอมของแอน แม่ก็ยังคงยุ่งตามปกติ สิ่งที่แม่จะทำได้ก็คือ ตอนเช้าก่อนไปทำงาน แม่จะเลือกตัดข่าวสั้นๆ ภาษาอังกฤษไว้ให้แอน 1 ข่าว ติดตู้เย็นไว้พร้อมกับโน้ตสั้นๆ ว่า “เย็นนี้สรุปให้แม่ฟังด้วย” เห็นไหมว่าไม่เหมือนแม่คนอื่นหรอก ไม่มีหรอกนะที่จะมาติดว่า “กับข้าวอยู่ในตู้เย็นนะลูก” อันนั้นเบสิคไปค่ะ

แล้วถ้ามีธุระที่แม่จะต้องพาแอนไปไหนด้วย แม่ก็จะเปิดข่าวช่องภาษาอังกฤษ แล้วก็พอจบข่าวนึงก็ถามแอนว่าฟังออกไหม สรุปสาระข่าวว่าอะไร (พอถึงวันนี้ กลับกันว่าแม่มาถามศัพท์กับแอน แอนก็จะรู้สึกแปลกๆ ขำๆ ไม่นึกว่าเค้าจะมาถามเรา) พอถึงเวลาจะต้องนั่งรถไปกับแม่ทีไร เหมือนเข้าห้องเรียนพิเศษทุกที ยกเว้นตอนมัธยมปลายที่เริ่มจะสนุกเวลาที่จะไปไหนด้วยกัน เพราะแม่แอนทันสมัยมากๆ ให้แอนไปเรียนขับรถยนต์ตั้งแต่ ม.4 อายุประมาณ 15-16 ได้ พอขับรถเป็นแล้ว เวลาจะไปไหนกัน แอนก็จะได้ขับรถ จำได้ว่ามีบางวันที่แม่ให้แอนขับรถไปส่งเอกที่โรงเรียน แล้วจึงขับต่อไปที่โรงเรียนแอน เพื่อส่งตัวเอง พอถึงโรงเรียนเบญจมราชาลัยแล้ว แม่ถึงมาเปลี่ยนขับต่อจากโรงเรียนแอนไปธรรมศาสตร์ ตอนนั้น รู้สึกว่าแม่เรานี่กล้ามากๆ กล้าให้เราใส่ชุดนักเรียนขับรถ ตอนเช้าซึ่งรถทั้งเยอะ และทั้งติด ตำรวจก็มองแล้วมองอีก แต่ตอนนั้นก็ไม่เคยโดนตำรวจเรียกนะคะ

ถ้าลองมานั่งนึกว่าแม่ทำอะไรให้แอนเยอะที่สุด สิ่งที่ชัดเจนที่สุด คือ ถ้าเป็นตอนเด็กๆ แม่จะดูแลเรื่องการเรียนมากที่สุด อย่างที่เล่ามาในตอนแรก แม่เป็นทั้งเป็นครูสอนเอง เป็นทั้งครูแนะแนว คอยแนะแนวพ่อว่าหมู่นี้แอนมีอะไรที่นอกลู่นอกทางบ้าง แล้วให้พ่อมาจัดการกับแอนอีกที แล้วก็เป็นครูฝ่ายปกครอง คอยกำกับดูแลการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนสอบเอ็นทรานซ์ 30 วัน แม่ไม่ออกไปไหนเลยสักนิดเดียว คอยทั้งให้กำลังใจ และกำกับการอ่านหนังสือให้เป็นไปตามแผน ส่วนถ้ามานึกถึงตอนนี้ แม่จะดูแลเรื่องการเงิน คอยมาสอบถามว่าเงินในบัญชีมีอยู่เท่าไหร่แล้ว เก็บไว้ให้ลูก(ออม) เท่าไหร่ วางแผนทางการเงินยังไง เอาเงินไปซื้อหุ้นตัวไหนบ้างหรือเปล่า ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่สามีแอน (บอมบ์) มาคุยเรื่องจะแต่งงานกับแอน แม่ยังถามบอมบ์ตรงๆ เลยว่า คิดว่าวางแผนทางการเงินอย่างไร ใครจะเป็นคนดูแลเงิน!!! เล่นเอาว่าที่ลูกเขยในตอนนั้นตกใจ รีบยกให้ลูกสาวแม่ดูแลเงินไปเลย

ทีเขียนมาทั้งหมดนี้ คนที่อ่านคงจะรู้สึกว่าแอนกับแม่นี่ถ้าจะลับสมองประลองคารมกันบ่อยจริงๆ อันนั้นก็ไม่เถียง ลับสมองกันประจำ แต่ถ้าถามแอนว่าแล้วแอนรักแม่ไหม แอนยืนยันได้เลยว่า “รักแม่มาก” แต่เนื่องจากบ้านแอนค่อนข้างจะเลี้ยงลูกแบบเสรี ดังนั้น ความรักแม่กับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จึงเป็น 2 เรื่องที่ไม่ต้องเอามาผสมกัน ทุกวันนี้ แอนมีความสุขที่ ”แอน”เป็น “แอน” ทุกสิ่งที่ผสมออกมาเป็นแอน เกิน 70% มาจากการปลุกปั้นของแม่และพ่อ แอนรักทุกสิ่งที่เป็นแอน แอนมีความภูมิใจในตัวเอง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความสุขกับชีวิต และมีความคิดที่เป็นอิสระ ถามว่าถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งแวดล้อม (ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ของแม่กับพ่อที่สร้างให้แอนเป็นอย่างนี้แล้ว แอนก็คงไม่ได้เป็น “แอน” อย่างทุกวันนี้ ก็อยากจะบอกแม่ว่า มันอาจจะใช้เวลามากไปสักหน่อยกว่าลูกจะเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามบอก แต่มันก็ยังไม่สาย เพราะตอนนี้ ลูกเข้าใจแล้ว และขอบพระคุณแม่ ที่ทำให้แอนเป็นแอนทุกวันนี้ แอนยังคิดเองอยู่บ่อยๆ ว่า ตัวแอนจะเลี้ยงลูกได้ดีและมีความสุขได้เท่ากับที่แม่และพ่อเลี้ยงแอนมาให้เป็นอย่างนี้ไหม มันไม่ง่ายเลย

รักแม่ - แต่ไม่ชอบพูด
แอนค่ะ

0 comments: